อาการ หลังได้รับเชื้อโดยประมาณ 45-90 วัน จะมีอาการอ่อนเพลียกว่าทุกวัน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
มีไข้ต่ำๆ คล้ายคลึงกับไข้หวัด ถ่ายเหลวเป็นเวลา 4-7 วัน
จากนั้นอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียนลดลง แต่จะเริ่มถ่ายปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม
ตาเหลืองและตัวเหลืองเป็นเวลา 2-6 สัปดาห์ ร่วมกับอาการคันตามผิวหนัง
จุดเสียดลิ้นปี่ ตับโต ม้ามโต แสดงว่าเป็น "ไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน"
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อจะมีลักษณะการดำเนินของโรคแบบนี้ร้อยละ 90
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ที่มักจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น
ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ
โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับ
ซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ เชื้อนั้นติดต่อทางเลือด น้ำลาย
สิ่งคัดหลั่ง ได้หลายทาง
- เพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง
- การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ใช้เข็มสัก หรือการเจาะหูที่ใช้เครื่องมือร่วมกัน
- มีดโกน ที่ตัดเล็บใช้ร่วมกัน
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ลูกมีโอกาสได้รับเชื้อร้อยละ 90
- โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง ที่มีเชื้อ โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
หลายคนที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยไม่มีอาการผิดปกติ
มีประมาณร้อยละ 5-10
จะกลายเป็นพาหนะมีเชื้อแฝงอยู่ในตัวคอยแพร่เชื้อให้กับคนใกล้ชิด
ในบางคนที่อาการดีซ่านหายช้า
และยังคงมีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี
มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหารเป็นประจำ ตับทำงานได้น้อยลง
ฮอร์โมนต่างๆ เปลี่ยนไป ฝ่ามือแดงจัด
เส้นเลือดที่ผิวหนังบริเวณคลอและหน้าอกขยายใหญ่ มองดูคล้ายแมงมุม
แสดงว่าเป็น "โรคตับอักเสบเรื้อรัง"
ผู้ป่วยกลุ่มนี้เจาะเลือดจะพบการทำงานของตับผิดปกติเป็นเวลาอย่างน้อย 6
เดือน และยังตรวจพบเชื้อตลอด มีการอักเสบของตับเป็นระยะๆ
บางรายมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ
การรักษา ควรไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัย
มีการเจาะเลือดหาเชื้อ (Hbs Ag+) ตรวจเลือดดูการทำงานของตับและตรวจปัสสาวะ
ซึ่งสามารถระบุได้ว่ามีความรุนแรงเพียงใด ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง
เป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ การพักผ่อนเต็มที่
ในระยะต้นจะทำให้อ่อนเพลียลดลง งดการออกแรง ออกกำลังกาย การทำงาน
งดการดื่มสุรา ผู้ป่วยเพียงแต่พักผ่อน รับประทานอาหารเหลวซึ่งย่อยง่าย
ดื่มน้ำหวานผลไม้ซึ่งดูดซึมได้ง่าย ช่วยให้ร่างกายหายจากอ่อนเพลีย
ควรหลีกเหลี่ยงอาหารไขมันสูงในระยะที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก
ในรายที่อาการมากอาจจะให้สารน้ำเข้าเส้นเลือดดำ ให้ยาแก้คลื่นไส้วิตามิน
หากดูแลตนเองดีตั้งแต่เริ่มแรกที่ป่วย
ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาทำลายเชื้อโรคให้หมดไป
ส่วนคนที่ป่วยแล้วไม่ได้พักผ่อน รับประทาานอาหารที่มีประโยชน์
ร่างกายจะอ่อนแอมาก ทำให้กลายเป็นโรคเรื้อรัง โรคไวรัสตับอักเสบชนิดบี
จะมีการตรวจในหญิงตั้งครรภ์ทุกรายและทุกคนก่อนที่จะแต่งงาน
ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบก่อน