โรคฉี่หนู

อาการ หลังจากได้รับเชื้อ 10-12 วัน จะมีไข้สูง (39-40๐ซ.) หนาวสั่นอย่างเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดตาม
กล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง ไข้สูงอยู่นาน 2-3 วัน เมื่อไข้สูงแล้วจะกลับลดลงสลับกันไปเป็นเวลานานหลายวัน ส่วนดวงตานั้นจะแดงก่ำหรือมีตาเหลือง ในวันที่ 3-7 จะมีผื่นหรือจุดเลือดออกที่เพดานปาก ผื่นหรือจ้ำเขียวตามลำตัว มีเลือดออกที่ตาขาว โลหิตจางเพราะเม็ดเลือดถูกทำลาย
ในวันที่ 7-13 จะมีอาการของระบบทางเดินอาหาร คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ในผู้ป่วยบางรายเชื้อโรคจะเข้าไปทำลายตับจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง การทำงานของตับล้มเหลว และปวดตรงชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ ส่วนใหญ่เริ่มเป็นหลังมีไข้ 2-5 และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
ผู้ป่วยบางรายเชื้อจะเข้าไปแบ่งตัวเป็นจำนวนมากในกระแสเลือด ซึ่งจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะมีผลต่อตับ ไต สมอง ระบบประสาท เชื้อทำลายระบบประสาททำให้ความรู้สึกสับสน บางคนมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือสมองอักเสบ บางคนเชื้อไปทำลายไตทำให้ไตวาย ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด บางคนมีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
สาเหตุ โรคฉี่หนูเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย เลปโตสไปโรซีส บางคนติดเชื้อโดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด บางคนมีอาการเพียงเล็กน้อย และบางคนที่มีอาการรุนแรงถึงเสียชีวิต กลุ่มเสี่ยง คือ เกษตรกร ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ผู้ที่ต้องลุยน้ำ เจอน้ำท่วมขัง ที่มีฉี่หนูและมีเชื้อโรคนี้อยู่ สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าก็มีเชื้อฉี่หนูเช่นกัน เชื้อนี้ยังอยู่ตามดิน โคลน แหล่งน้ำ น้ำตก แม่น้ำลำคลองได้นานเป็นเดือน โดยเฉพาะในที่น้ำท่วมขัง แสงส่องไม่ถึง และมีความเป็นกรดปานกลาง เชื้อจะเข้าตามเนื้อเยื่ออ่อน เช่น เยื่อบุตา เข้าตามรอยถลอก เข้าตามรอยแผลเปิดเป็นต้น และหากมีฉี่หนูตามภาชนะก็เข้าไปทางปากคนเราและก่อโรคได้ โดยพื้นที่เสี่ยง พบผู้ป่วยมาก ได้แก่ ภาคอีสานตอนใน และภาคอีสานตอนใต้ โรคฉี่หนูมักพบระบาดเป็นครั้งคราว พบบ่อยในฤดูฝน
การรักษา โรคนี้วินิจฉัยได้ค่อนข้างยากเพราะอาการคล้ายกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือสมองอักเสบ และต้องแยกอาการออกจากโรคอื่นๆ อีกหลายโรค เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ตับอักเสบจากไวรัสสครับไทฟัส มาลาเรีย ไทฟอยด์ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
การวินิจฉัยต้องอาศัยการบอกประวัติว่าเพิ่งไปย่ำน้ำมาและการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยการดูระดับภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น หรือการเพาะแยกเชื้อจากเลือด ซึ่งการตรวจนี้มีเฉพาะในสถานปฏิบัติการยืนยันที่เป็นแหล่งอ้างอิง เช่นในมหาวิทยาลัย โดยจะไม่มีตามโรงพยาบาลโดยทั่วไป
รักษาโดยการทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์แนะนำต่อเนื่องจนกว่าเชื้อจะหมดไป ผู้ที่มีอาการรุนแรงแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลลิน เตตราซัยคลีน อีริโทรมัียซิน เป็นต้น ควรจะได้รับยาภายใน 4-7 วัน หลังเกิดอาการของโรคจึงจะได้ผลดี ผู้ที่มีอาการปานกลางแพทย์ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ดอกซีซัยคลิน อะมอกซีซัยคลีน เป็นต้น
นอกจากยาฆ่าเชื้อแล้วรักษาตามอาการ เช่น ทานยาลดไข้ ยาแก้ปวด กล้ามเนื้อ ให้ยากันชัก ให้ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน การให้สารน้ำและเกลือแร่ หากมีโรคแทรกซ้อน เช่น หากเกล็ดเลือดต่ำหรือเลือดออกง่ายก็อาจจะจำเป็นต้องให้เกล็ดเลือดหรือน้ำเหลือง เป็นต้น ผู้ป่วยควรได้พักผ่อนมากๆ หลังจากออกโรงพยาบาลแล้วยังต้องพักผ่อนที่บ้านอีกหลายวัน
การป้องกัน สำหรับเกษตรกรหรือผู้ที่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วม อาจหลีกเลี่ยงโรคได้ยาก แต่เมื่อไม่สบายโดยมีอาการน่าสงสัยดังที่กล่าวมาให้รีบพบแพทย์ทันที การได้รักษาตั้งแต่เริ่มแรกจะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติได้สูง ควรระวังการติดเชื้อด้วยการเก็บอาหาร แก้วน้ำ ภาชนะให้มิดชิด อย่าให้หนูมาฉี่รด ผู้ที่ต้องคอยดูแลผู้ป่วยโรคฉี่หนู ควรระมัดระวังไม่ให้สัมผัสถูกเลือดปัสสาวะ สารคัดหลั่งต่างๆ จากผู้ป่วย ซึ่งจะนำเชื้อโรคเข้ามาสู่ตัว ควรมีวิธีป้องกันด้วยการสวมถุงมือ การต้มฆ่าเชื้อโรคในเสื้อผ้าและภาชนะผู้ป่วย